ขอเชิญสาธุชนทุกท่าน พาปิ่นโตมาวัด ทุกวันอาทิตย์
เพื่อถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ร่วมกัน
โรงฉัน วัดชัยชนะสงคราม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
กำหนดการ
10.30 น. พร้อมกัน ณ โรงฉัน ( โรงครัว ) วัดชัยชนะสงคราม
11.00 น. ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ร่วมกัน
11.45 น. รับพรจากพระภิกษุสงฆ์
12.00 น. รับประทานอาหาร ร่วมกัน
ในมุมมองของผม ผมรู้สึกว่า โลกในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาด้านวัตถุมาก แต่การพัฒนาด้านจิตใจกลับตามไม่ค่อยทัน ผมอยากจะพัฒนาพื้นฐานจิตใจของผู้คนให้ดีขึ้น ผมเองเป็นคนใต้ ได้ซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงามของคนบ้านผม คือ เรื่องการหิ้วปิ่นโตเข้าวัดไปทำบุญ แล้วผมก็นึกย้อนไปถึงคนโบราณ ที่เขาเข้าวัดกันทุกวันพระ
แต่ในยุคปัจจุบัน ผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนากลับหลงลืมขนบธรรมเนียมอันดีงามนี้ ลืมไปว่ายังมีวัดอยู่ ลืมไปว่าในวัดนั้นยังมีพระสงฆ์อยู่ด้วย ซึ่งท่านเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา นำเอาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถ่ายทอดให้แก่พวกเรา เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ผมจึงคิดว่าโครงการหิ้วปิ่นโตไปวัดนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดช่องว่าง และสร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม
ผมได้นำโครงการหิ้วปิ่นโตไปวัด มาใช้กับข้าราชการเมืองของผม เพราะผมยึดหลักการพัฒนาที่ว่า “ถ้าเราจะปลูกพืชต้องเตรียมดิน จะกินต้องเตรียมอาหาร จะพัฒนาการต้องเตรียมคน จะพัฒนาคนต้องพัฒนาที่ใจ จะพัฒนาใครต้องพัฒนาตัวเองก่อน” ดังนั้นผมจึงอยากให้ข้าราชการของผมได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้ รู้จักตนเอง และดำเนินชีวิตโดยมีศีลธรรมเป็นตัวกำกับ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ที่ข้าราชการจะได้ไปทำบุญร่วมกัน และพบปะประชาชนไปพร้อมๆกัน เพื่อไถ่ถามทุกข์สุข และทำให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่ข้าราชการ ประชาชน และนำมาซึ่งความรักความสามัคคีของผู้คนในชาติ อีกทั้งยังเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย
โดยผมจะสนับสนุนให้ข้าราชการทุกคน ตักบาตรที่หน้าบ้านทุกวัน และไปวัดทุกวันพระ ซึ่งใน 1 เดือนมีวันพระ 4 ครั้ง และใน 1ครั้งผมจะพาข้าราชการทั้งหมดไปวัดพร้อมกัน โดยไม่มีการบังคับ และจะหมุนเวียนกันไปให้ครบทุกวัดทั่วทั้งจังหวัดจันทบุรี โดยผมจะวางแผนไว้ล่วงหน้าเลยครับว่า ทั้งปีจะไปทำบุญที่ไหนบ้าง ผมมองว่า ถ้าข้าราชการมีคุณธรรม มีศีลธรรมแล้ว สิ่งนี้จะเป็นตัวกำกับการผลักดันยุทธศาสตร์ของเมือง ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูก ที่ควรจะเป็น ถ้าเรามีธรรมะ เราจะรู้ตัวว่าเราทำอะไร และควรจะทำอะไร
ผมเห็นว่า ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ ผมไปวัด เพราะผมเป็นพุทธมามกะ แต่ผมก็สนับสนุนทุกศาสนา ถ้าใครเป็นคริสต์ ก็ให้ไปโบสถ์ ถ้าใครเป็นมุสลิมก็ไปมัสยิด ไปทำพิธีกรรมทางศาสนาของตัวเอง เพราะผมถือว่า ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี และผมจะส่งเสริมทุกเรื่องที่ทำให้ผู้คนมีศีลธรรม และเป็นคนดี ซึ่งกิจกรรมหิ้วปิ่นโตไปวัดนี้ จะช่วยให้พื้นฐานทางจิตใจของผู้คนดีขึ้น และจะสามารถช่วยลดช่องว่าง และลดปัญหาต่างๆได้ เพราะถ้าทุกคนมีศีลธรรมเป็นวิถีในการดำเนินชีวิต สังคมก็จะมีความมั่นคง ร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการเบียดเบียนกัน
ผมว่าโดยปกติแล้ว พื้นฐานใจของทุกคนนั้นเป็นคนดี และอยากจะทำความดี เพียงแต่ไม่มีผู้นำ ผมอยากให้พ่อแม่ทุกคนพาลูกเข้าวัด เพราะเด็กจะได้มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็คือความดีงามนั่นเอง และเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเป็นทั้งคนเก่งและคนดี ผมจึงอยากจะฟื้นฟูสิ่งดีๆเหล่านี้ ให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตตามแบบวิถีชาวพุทธอีกครั้งครับ
ท่านผู้ว่า ฯ ประจักษ์ สุวรรณภักดี
ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี
ที่มาจาก
http://www.dmc.tv/pages/world_meditation/Thailand_Prajak_Chantaburee.html